แหล่งที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=HgYYqBPo-s8
‘ยีเอส แบตเตอรี่’เพิ่มพื้นที่สีเขียวชายฝั่งทะเลบางปู
เนื่องในโอกาสมหามงคลชัยสมัยทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา และครบรอบ 60 ปี สยามกลการ “โครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและปลูกป่าชายเลน” กิจกรรมสร้างสรรค์สังคมไทยเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในระยะยาว และฟื้นฟูป่าชายเลน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์และเป็นมิตรที่ดีต่อชุมชนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการพัฒนาและรักบ้านเกิด ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
โครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และปลูกป่าชายเลน” เกิดจากการรวมพลังใจรักโลก…ห่วงใยสิ่งแวดล้อม จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการสร้างสรรค์สังคมไทยเพิ่มพื้นที่สีเขียวริมชายฝั่งทะเล ริเริ่มโดยบริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลของจังหวัดสมุทรปราการ ตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศบริเวณชายฝั่ง ได้มีแนวคิดหาแนวทางป้องการกัดเซาะชายฝั่งในระยะยาว การฟื้นฟูป่าชายเลน อีกทั้งยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อชุมชนท้องถิ่น ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและรักบ้านเกิด เป็นส่วนหนึ่งของโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และทางสยามยีเอส แบตเตอรี่ ได้รับแรงสนับสนุนจากเทศบาลตำบลบางปู และชุมชนท้องถิ่นเมืองสมุทรปราการ โดยในปี 2555 สยามยีเอส แบตเตอรี่ ได้ทำเขื่อนไม้ไผ่จำนวน 8,400 ต้น เพื่อเป็นแนวป้องกันการตกตะกอนของดินเลน เป็นเวลา 1 ปี และในปลายปี 2556 จัดทำโครงการปลูกป่าชายเลน 10,000 ต้น อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้น และปลูกฝังจิตสำนึกให้ทุกคนหันมาร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อีกทางหนึ่ง และฝากให้ชาวชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่สีเขียวให้สมบูรณ์คงอยู่ต่อไป
แหล่งที่มา : http://www.ryt9.com/s/tpd/1565209
อบจ.ภูเก็ตทุ่มงบวางปะการังเทียมหน้าหาดกะรนฟื้นฟูระบบนิเวศ
อบจ.ภูเก็ตร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางปะการังเทียมฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง ในเขตพื้นที่อ่าวกะตะ-กะรน ป้องกันเรืออวนลากอวนรุน สร้างแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในทะเล-แหล่งอาหาร เผยผลการดำเนินวางปะการังเทียมที่หาดในยาง ประสบความสำเร็จ มีการเกาะตัวอ่อนของปะการัง กัลปังหา และมีฝูงปลาหลายชนิดเข้ามาอาศัยแล้วเป็นจำนวนมาก
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่บริเวณหาดกะตะ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีวางปะการังเทียม ซึ่งจัดขึ้นบริเวณอ่าวกะรน เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง รวมทั้งเพื่อป้องกันเรืออวนลากอวนรุน สร้างแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำ ซึ่งทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับเทศบาลตำบลกะรน และกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ ต.กะรน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น โดยมีนายมานพ ลีลาสุธานนท์ ปลัด อบจ.ภูเก็ต นายสมปอง ดาบเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลกะรน และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายมานพ ลีลาสุธานนท์ ปลัด อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้ให้ความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และที่มาของรายได้ของประชาชนในจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจให้คนมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ต หาดทรายสวย น้ำทะเลใส อีกทั้งแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งเพาะพันธุ์ตัวอ่อนของสัตว์น้ำนานาชนิดที่เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่ผ่านมา ยังขาดการจัดการ ขาดการควบคุมวางแผน และการใช้ประโยชน์ทางธรรมชาติอย่างสมดุล จนส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทำให้แนวปะการัง เริ่มมีสภาพเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2552 องค์การบริการส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้ตั้งงบประมาณและดำเนินการจัดสร้างปะการังเทียม พร้อมจัดวางในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง) ไปแล้ว และในปี 2553 ได้ดำเนินการจัดสร้างปะการังเทียมวางในพื้นที่อ่าวบางเทา และอ่าวกมลา ซึ่งการดำเนินการวางปะการังเทียมนั้นได้มีการสำรวจหลังดำเนินการที่อ่าวในยางเป็นเวลา 2 ปี พบว่า มีการเกาะตัวอ่อนของปะการัง กัลปังหา และมีฝูงปลาหลายชนิดเข้ามาอาศัยบริเวณแนวปะการังเทียมเป็นจำนวนมาก ถือได้ว่าเป็นการสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลในจังหวัดภูเก็ต
สำหรับการวางปะการังเทียมในครั้งนี้ที่บริเวณอ่าวกะรน ดำเนินการสร้างแท่งคอนกรีตปะการังเทียม จำนวน 1,880 แท่ง เพื่อจัดวางในเขตพื้นที่อ่าวกะตะ-กะรน ตั้งแต่บริเวณอ่าวกะรนด้านทิศเหนือ ถึงด้านใต้อ่าวกะตะ ระยะทาง 8 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 24 ตารางกิโลเมตร หวังว่าหลังดำเนินการแล้วเสร็จจะทำให้แนวปะการังในพื้นที่ดังกล่าวมีความสมบูรณ์มากขึ้น และเป็นที่อาศัยของสัตว์ทะเลได้เป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคตก็จะกลายเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่สวยงามได้อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต
ขณะที่ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับจังหวัดภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาทุกปี และตอนนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาถึง 8 ล้านคน ส่วนใหญ่มาเที่ยวชมธรรมชาติทางทะเลในจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะกีฬาดำน้ำ จึงเป็นที่มาของการสร้างแหล่งปะการังเทียมขึ้นทั่วเกาะในจังหวัดภูเก็ต เพื่ออนุรักษ์สัตว์น้ำเอาไว้ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 ในการดำเนินการจัดวางปะการังเทียม ซึ่งหลังจากวางปะการังเทียมแล้ว จะทำให้สัตว์น้ำไปอาศัยอยู่จำนวนมาก และเกิดแหล่งดำน้ำทางธรรมชาติขึ้นอีก 1 แห่ง ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อลูกหลาน ได้รับประโยชนอย่างแท้จริง
ด้านนายสมปอง ดาบเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลกะรน กล่าวว่า การสร้างแหล่งปะการังเทียม ซึ่ง 2 ครั้งที่ผ่านมาในการวางปะการังเทียม ยังไม่ได้ผลเต็มที่ กล่าวคือ ในส่วนหนึ่งเราไม่สามารถป้องกันเรืออวนลากได้ แต่เราก็มีสัตว์น้ำที่จะให้ประชาชนในท้องถิ่น หรือชาวประมงได้ตกปลา และได้ดำน้ำ เพื่อเสริมรายได้ให้แก่อาชีพชาวประมง แต่ครั้งนี้มีการพูดคุยกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า ในการจัดวางปะการังเทียมนั้นทำอย่างไรก็ได้ให้สามารถป้องกันเรืออวนลากที่จะเข้ามาลากปลาในบริเวณชายฝั่งให้ได้ ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่พวกเราจะได้สิ่งที่ดีมาให้คนในท้องถิ่น ซึ่งเป็นแหล่งปะการังเทียม มีสัตว์น้ำ ก็จะเสริมสร้างอาชีพให้แก่คนในท้องถิ่น ชาวประมงได้ออกไปทำการประกอบอาชีพ โดยการให้นักดำน้ำเช่าเรือของชาวประมงออกไปดำน้ำชมธรรมชาติทางทะเล
แหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000154294
ปะการัง และระบบนิเวศทางทะเล
รูป ในปีพ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นปีที่น้ำทะเลร้อนขึ้นอย่างผิดปกติ ได้เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว เป็นวงกว้างทั่วอ่าวไทย
ปะการังเป็นการรวมตัวกันของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์นับร้อยนับพัน โดยมีสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็กที่เรียกว่า ซูแซนเทลลี (Zooxanthellae)เป็นองค์ประกอบช่วยสร้างสีสัน สังเคราะห์แสง สร้างอาหาร แลร้างหินปูน ทำให้ปะการังโตเร็วโดยปกติปะการังจะสามารถปรับตัวใหัเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ถึงระดับอุณหภูมิสูงสุดในภาวะปกติเท่านั้น เมื่อน้ำทะเลร้อนขึ้นกว่าระดับปกติซูแซนเทลลีจะตาย สีของปะการังก็จะซีดลง และเมื่อไม่มีอาหาร ระบบชีวิตในปะการังก็จะค่อยๆ ตายตามไปในที่สุด โดยปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ปะการังฟอกขาว
ปะการังฟอกขาวได้เกิดขึ้นแล้วเป็นบริเวณกว้างทั่วอ่าวไทย เช่น ที่เกาะสีชัง ชลบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระยอง และจันทบุรี เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ.2541 ซึ่งเป็นปีที่น้ำทะเลร้อนขึ้นอย่างผิดปกติ
การสูญเสียปะการังซึ่งเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่หลากหลายที่สุดในโลกส่งผลต่อแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ซึ่งกระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำโดยตรง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก
แหล่งที่มา: http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/15191.html
koedphon 